หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ค้นหาร้านอาหารอร่อยใกล้ตัวเรา ง่ายๆ ด้วยแอพฟรี “Wongnai”


ในช่วงเวลาหิว หรือเวลาชวนเพื่อนไปทานข้าว ทั้งแบบ ไปทานกับคนรู้ใจสองต่อสอง หรือแบบไปกับเพื่อนๆเป็นกลุ่มใหญ่ มักจะถามคำถามนี้ว่า “วันนี้กินอะไร ? แถวนี้มีร้านอะไรกินบ้าง ? แถวนี้มีร้านอาหารถูกๆมั้ย ? “พรุ่งนี้พวกเราจะไปกินข้าวกันที่ไหนดี” ในยุคก่อนเราไม่ค่อยเชี่ยวชาญเส้นทางเรื่องอาหาร ก็คงยากที่จะแนะนำร้านอาหารเด็ด แต่ด้วยเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต และเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะ Location Based Service ที่สามารถช่วยแนะนำสิ่งต่างๆที่น่าสนใจที่อยู่รอบตัวเราได้เช่น ห้างสรรพสินค้า โปรโมชั่น รวมไปถึงแนะนำร้านอาหาร ใกล้ๆตัวเราด้วย
ด้วยยุคปัจจุบันเป็นยุคของ Social Network สิ่งที่เป็นเทรนด์มากในยุคนี้ก็คือการถ่ายรูปอาหารแล้วโพสภาพอาหาร บนเว็บไซต์ twitter หรือ facebook (หลายท่านคงคุ้นเคยกับภาพเหล่านี้) เพื่อนๆที่เปิดดูรูปที่คุณโพสแล้ว ก็จะรู้สึกหิว อยากมาทานที่ร้านนี้บ้าง หรืออยากรู้ว่าภาพอาหารที่ทานนี้จากร้านไหนแถวไหน? จึงเป็นที่มาของเว็บไซต์รีวิวแนะนำร้านอาหารอย่าง Wongnai.com ที่จะช่วยในการค้นหาร้านอาหารเด็ดๆ จากบริเวณสถานที่ต่างๆ โดยข้อมูลนี้มาจากผู้ที่ไปรับประทานอาหารที่นั่นมาแล้ว มาโพสรีวิวแนะนำร้านอาหารบนเว็บไซต์ จนล่าสุดบนฐานข้อมูลบนเว็บไซต์ Wongnai.comมีข้อมูลร้านอาหารกว่า 9,000 ร้านแล้ว
เทคโนโลยีเว็บ Social Network บน Mobile Internet ผ่านโทรศัพท์มือถือที่ตอนนี้เข้าถึงโลกอินเตอร์เน็ตยุค EDGE 3G และเทคโนโลยีระบุพิกัดบนแผนที่ Location Based กำลังเป็นเทรนที่มาแรงและช่วยอำนวยความสะดวกในแนะนำสถานที่ ร้านอาหารต่างๆ ทำให้ทีมนักพัฒนาเว็บไซต์ Wongnai ได้จัดทำแอพพลิเคชั่นแนะนำร้านอาหาร ชื่อว่า Wongnai บนโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้นหาร้านอาหารรอบๆตัวเรา และผู้ใช้ก็มีส่วนช่วยในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับร้านอาหารที่ได้ไปทานมาได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา รวมทั้งเป็นข้อมูลประกอบช่วยในการตัดสินใจว่าจะไปทานที่ไหนดี ทราบเมนูเด็ดของทางร้านแต่ละร้าน พร้อมสั่งอาหารได้ทันที
แอพพลิเคชั่น Wongnai สามารถโหลดมาใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ และแท๊บเล๊ท ได้ทั้งระบบปฏิบัติการ iOS เช่น iPhone , iPad , iPod Touch และระบบปฏิบัติการ Android โดยพิมพ์ค้นหาคำว่า Wongnai ได้ทั้งบน Market ของ Android และบน App Store ของอุปกรณ์ iOS อย่าง iPhone , iPod Touch และ iPad ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายเช่นกัน
หลังจากติดตั้งลงบนโทรศัพท์มือถือเสร็จแล้ว ให้เลือกที่ไอคอนแอพ Wongnai หรือ แตะที่ open ในหน้า Wongnai บน Market ของ Android ก็จะเข้าสู่หน้าจอหลัก โดยจะมี 4 รายการหลักให้ท่านเลือกดังนี้
Place รายชื่อร้านอาหาร, Recent อัพเดทสมาชิก wongnai , check-in ล่าสุดว่าเช็คอินอยู่จากที่ร้านอาหารไหน ,Article บทความรีวิวแนะนำร้านอาหารแบบเจาะลึก และ Account เพื่อเข้าสู่หน้าจัดการ Profile ของเรา
พอเข้าไปที่ Place ระบบก็จะทำการค้นหาร้านอาหารที่อยู่รอบๆตัวเรา โดยใช้สัญญาณ GPS บนมือถือคุณ หรือจากเสาสัญญาณเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ สักครู่ก็จะมีรายชื่อร้านอาหารที่อยู่ตำแหน่งใกล้ๆตัวเราปรากฏขึ้นมา ให้คุณได้เลือก เมื่อแตะที่ชื่อร้าน แอพนี้ก็จะแสดงข้อมูลของร้านอาหารร้านนั้นอย่างละเอียด
เมื่อแตะที่ชื่อร้านไปแล้วก็จะปรากฏรายละเอียดเกี่ยวกับร้านอาหาร ไม่ว่าจะเป็นชื่อร้านอาหาร  ประเภทของร้านอาหาร และสถานที่ที่ตั้งของร้านอาหารนี้ พร้อมกับแผนที่ของร้านอาหารนั้น  รูปภาพบรรยากาศร้านอาหาร ข้อมูลรายการอาหาร ข้อมูลประกอบอื่นๆเช่นร้านนี้รับบัตรเครดิตไหม  เหมาะสำหรับคนกลุ่มไหน ที่นี่มีขายเครื่องดื่มแอลกฮอลล์หรือไม่ เวลาเปิด-ปิดของร้านอาหาร  และสิ่งที่เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของคุณก็คือ review แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร้านอาหาร จากคนที่เคยเข้ารับประทานอาหารร้านนั้นมาแล้ว พร้อมภาพประกอบ และจำนวนดาว แสดงความนิยมของร้านอาหารร้านนี้  นอกจากนี้หากคุณได้ไปที่นั่นแล้วก็ยังสามารถโพสรูปภาพ และรีวิวเล่าถึงเพื่อนได้ด้วยโดยแตะที่ปุ่ม Post Photo  พร้อมกับถ่ายรูปโพสภาพพร้อมข้อความแสดงความเห็นเกี่ยวกับร้านอาหารร้านนั้นได้ทันทีอีกด้วย
Resent แสดงรายชื่อสมาชิกที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร้านอาหารล่าสุด หากแตะที่รูปภาพด้วยก็จะแสดงรูปภาพอาหารที่เพื่อนสมาชิก wongnai ได้โพสอาหารไว้ในร้านนั้นๆ และอ่านความคิดเห็นจากเพื่อนๆที่เคยมาร้านอาหารร้านนี้มาแล้ว
หรือหากทราบชื่อร้านและอยากรู้ว่าร้านนี้อยู่ที่ไหน มีเมนูเด็ดอะไรบ้าง หรืออยากรู้ว่าแถว ปทุมวันมีร้านอาหารไหนน่าสนใจบ้าง ก็ลองค้นหาบนแอพนี้ได้โดยแตะสัมผัสที่รูปแว่นขยาย และพิมพ์สิ่งที่เราต้องการหา เช่นชื่อร้าน เขตของกรุงเทพ เมนูอาหาร ฯลฯ ก็จะค้นหารายชื่อร้านอาหาร ตามที่เราสั่งค้นหา
Article บทความแนะนำร้านอาหาร โดยจะแสดงบทความร้านอาหารที่แนะนำ ซึ่งจะดึงผ่านเว็บไซต์www.wongnai.com มาเป็นหน้าเว็บไซต์สำหรับหน้าจอท่องเว็บบนมือถือ โดยเฉพาะ
ACCOUNT หน้าจัดการเกี่ยวกับข้อมูลเรา ซึ่งต้องทำการสมัครสมาชิกเว็บไซต์ wongnai.com ก่อน ซึ่งขั้นตอนสมัครก็ไม่ยากและสมัครได้ทั้งผ่านทางหน้าเว็บไซต์ที่ www.wongnai.com หรือจะสมัครผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือนี้ก็ได้เช่นกัน และเมื่อสมัครได้แล้ว ก็ทำการเข้าสู่ระบบโดยกรอกอีเมลล์ และรหัสผ่าน แล้วทำการ Sign in ก็จะเข้าสู่หน้าจัดการของเรา ซึ่งนอกจากจะแสดงข้อมูลของเราเองแล้วยังบอกด้วยว่ามีใครติดตามเราบ้าง รวมไปถึงป้ายสะสม My Badge ในกรณีที่คุณเช็คอินตามร้านอาหารต่างๆด้วย
สำหรับเวอร์ชั่นบน iPhone ก็มีหน้าตาและวิธีการการใช้งานที่คล้ายๆกัน แทบไม่ต่างจากเวอร์ชั่นบนโทรศัพท์มือถือAndroid เลย
และล่าสุด Wongnai ได้ออกแอพพลิเคชั่น Wongnai เวอร์ชั่นสำหรับ iPad โดยเฉพาะมาแล้ว โดยเป็น iPad app อย่างเต็มตัว (ไม่ใช่รันบน iPad แบบ 2x) โดยใช้ ประโยชน์ จากขนาดหน้ าจอของ iPad ที่ใหญ่กว่า ทำให้ผู้ใช้สามารถหาร้านใกล้ๆ และ search หาร้านได้ใน tab เดียว ทั้งนี้ Features ต่างๆจากเวอร์ชัน iPhone ก็ยกมารวมไว้ครบ
นับว่าเป็นแอพพลิเคชั่นที่มีประโยชน์ ที่ทางนักพัฒนา wongnai ตั้งใจทำเพื่อให้ผู้ใช้แอพนี้สนุกไปกับการแชร์ข้อมูลร้านอาหารให้กับผู้อื่นผ่านทางสมาร์ทโฟนที่ติดตัวเราอยู่แล้วทุกที่ทุกเวลา ได้ข้อมูลที่สดใหม่อยู่เสมอ และเป็นการเลือกใช้เทคโนโลยีทั้งด้าน Social Network และ Location Based ในทางสร้างสรรค์ คราวนี้หากนึกไม่ออกว่าจะทานที่ไหนดี ก็ลองโหลดแอพ wongnai ลงในสมาร์ทโฟนหรือแท๊บเล็ตของคุณ แค่นี้คุณก็จะมีตัวเลือกร้านอาหารดีๆมากขึ้นแล้ว   หากต้องการเสนอแนะเพื่อให้แอพนี้ได้พัฒนาฟีเจอร์ให้โดนใจผู้ใช้มากยิ่งขึ้น ก็สามารถติดต่อนักพัฒนาแอพได้ เพื่อพัฒนาปรับปรุงเพิ่มฟีเจอร์ลงในแอพพลิเคชั่นนี้ต่อไป
อ้างอิงจาก   http://www.it24hrs.com/2011/wongnai-app/

GifBoom แอพคล้าย Instagram แต่สร้างภาพเคลื่อนไหว Gif ที่กำลังมาแรง! ดูวิธีใช้งานกัน


หลังจากที่หลายๆคนได้ฮิตกับแอพถ่ายภาพนิ่งพร้อมแต่งภาพด้วยฟิลเตอร์เด็ดๆจาก แอพ Instagram ที่ตอนนี้ขึ้นแท่นแอพยอดนิยมทั้งบน iOS และ Android เรียบร้อย แต่ในช่วงนี้มีแอพถ่ายรูปแชร์ขึ้น Social network แบบใหม่ที่ด้วยขั้นตอนการใช้งานคล้ายคลึงกับ Instagram แต่ความสามารถที่ได้เห็นแบบภาพเคลื่อนไหว Stop Motion พร้อมกับสามารถตกแต่งกรอบและใส่ข้อความ ได้  จนทำให้แอพนี้เริ่มมีการบอกต่อและมีคนใช้งานแอพ GifBoom จนเป็นที่รู้จักมากขึ้น
แอพ GifBoom: Animated GIF Camera พัฒนาโดย TapMojo LLC  กำลังเป็นแอพที่มาแรง หลังจากที่ Instagram ฮิตไปสักพัก ที่มาแรงช่วงนี้เพราะเนื่องจากกระแสผู้ใช้ instagram ได้ลองแอพ GifBoom แล้วติดใจ แนะนำบอกต่อผ่าน Social network ไม่ว่าจะเป็น facebook  , twitter , imessage , และทาง Instagram ชวนเพื่อนๆมาใช้ GifBoom กัน ซึ่งทั้งนี้มีศิลปินนักร้อง ดารานักแสดง และบุคคลที่มีชื่อเสียงก็ได้ลองใช้ GifBoom ด้วย และบอกต่อกับเพื่อน ๆ ทำให้แอพนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ด้วยขั้นตอนที่ใช้งานง่าย และมีความสามารถบางอย่างที่ Instagram ไม่สามารถทำแบบเหมือน Gifboom ได้ ก็คือภาพเคลื่อนไหวแบบ stop motion นี่เอง วันนี้จึงนำเสนอขั้นตอนการใช้งาน Gifboom แบบคร่าวๆ ให้ผู้ที่ไม่เคยลองโหลดแอพนี้ได้มารู้จักและลองใช้กัน
เริ่มจากดาวน์โหลดติดตั้งแอพ GifBoom  ซะก่อน ซึ่งสามารถโหลดฟรีผ่านทาง  App Store และ Google Play
แล้วก็ทำการเปิดแอพ GifBoom เพื่อเริ่มใช้งาน แล้วให้ทำการ login โดยสามารถ sigin in ด้วย facebook , twitter ได้ทันที  หรือจะสมัครสมาชิกใหม่ด้วยอีเมลล์ของท่านเอง
เมื่อเข้าสู่ระบบของ GifBoom แล้ว  จะพบหน้าตาแบบนี้ โดยจะพบ 5 ไอคอนสำคัญ ที่อยู่ด้านล่าง คือ
  1. Feed สำหรับติดตามภาพนิ่ง , ภาพเคลื่อนไหวของเพื่อนๆ ที่เราติดตาม follow เค้าอยู่
  2. Popular ดูภาพยอดฮิตที่มีคนชมหรือคน Like มากที่สุด  หรือสามารถชมภาพถ่ายล่าสุดจากสมาชิกใน GifBoom ได้
  3. Camera โหมดถ่ายรูป โดยถ่ายแบบภาพนิ่งมาประกอบกันเป็นภาพเคลื่อนไหว
  4. Comment Notification  แจ้งเตือนการ Comment และการติดติดตาม ว่ามีเพื่อนคนไหนโพสความเห็น หรือติดตามเราบ้าง
  5. setting หน้าสำหรับการตั้งค่าต่างๆ ซึ่งมีทั้งตั้งค่าการแชร์ภาพ  , หาเพื่อนๆ , หาภาพ  ตั้งค่าโปรไฟล์ของเรา และตั้งค่าอื่นๆอีกมากมาย

สำหรับการถ่ายรูปนั้นขั้นตอนคล้ายคลึงกับ  instagram โดยแตะที่รูปกล้องถ่ายรูป (ไอคอนที่ 3 Camera )  เพื่อเข้าสู่โหมดของการถ่ายภาพ  จากนั้นก็แตะที่รูปกล้องถ่ายรูปเพื่อเริ่มถ่ายภาพนิ่ง  แต่จะไม่ใช่แค่ถ่ายช็อตเดียวแบบภาพนิ่งทั่วไป จะถ่ายหลายช็อตต่อเนื่องไปเรื่อยๆ  ถ่ายเรื่อยๆจนกว่าแตะที่ไอคอน กล้อง อีกครั้ง เพื่อหยุดถ่ายและแสดงเป็นภาพเคลื่อนไหวแบบ stop motion นี่เอง   หรือหากคุณมีภาพหลายภาพในเครื่องอยู่แล้ว ก็สามารถนำภาพที่มีมาเลือกเป็นภาพประกอบเคลื่อนไหวได้ด้วย โดยแตะที่ import เลือกรูปจากในโทรศัพท์ที่ต้องการมาใช้ในการเรียงภาพนิ่งทำภาพเคลื่อนไหว   จากนั้น แตะที่ next เลือกรูปภาพที่ต้องการมารวมเป็นภาพเคลื่อนไหว แล้ว next เพื่อดู Preview การเคลื่อนไหวอีกที
เมื่อดูว่าพอใจ สามารถใส่กรอบ ใส่ฟิลเตอร์ และพิมพ์ข้อความลงบนภาพได้ตามต้องการ แล้ว แตะที่ next

สุดท้ายคือพิมพ์ข้อความทวิต หรือ โพสสถานะต่างๆ พร้อมที่จะขึ้นบน social network ต่างๆ เช่น facebook twitter  และ tumblr สามารถส่งภาพไปยังอีเมลล์เพื่อนๆ และส่งภาพผ่านบริการ iMessage บน อุปกรณ์ iOS อย่าง iPhone , iPod Touch และ iPad ได้
แค่นี้ก็จะได้ภาพเคลื่อนไหวบน GifBoom ที่เกิดจากนำภาพนิ่งจากการถ่ายรูปด้วยมือถือ มาเรียงต่อกันเป็นภาพเคลื่อนไหวแล้ว และภาพนี้ก็จะปรากฎบน Feed ของ GifBoom ของเพื่อนๆ และ Social Network ที่คุณต้องการแชร์

วิธีหาเพื่อนๆของคุณที่ เล่นแอพ  GifBoom ก็สามารถทำได้ดังนี้

เลือกไอคอน setting (บริเวณด้านล่างขวาของจอ)  จะปรากฏรายการต่างๆ ให้เลือก Find Friends
สามารถหาเพื่อนๆที่อยู่ใน  facebook twitter รายชื่อบนมือถือ และอีเมลล์เพื่อนๆของคุณที่เล่น GifBoom อยู่แล้ว แค่นี้คุณก็มีเพื่อนที่จะได้ตามไปดูรูปภาพเคลื่อนไหวที่เพื่อนๆ โพสแชร์ภาพผ่าน GifBoom
หากใครอยากจะลองใช้ GifBoom ในการแชร์ภาพเคลื่อนไหว .gif ให้กับเพื่อนๆ ได้ดูละก็สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี ผ่านทาง App Store และ Google Play
อ้างอิงจาก   http://www.it24hrs.com/2012/gifboom-gif-animation-photo-instagram-how-to/

วิธีใช้ Google Streetview ดูภาพเหมือนยืนบนสถานที่จริง บนมือถือและแท็บเล็ต


จากครั้งที่แล้วได้เสนอการใช้งาน Google Streetview บนเว็บไซต์ Google Maps ที่ทำให้เราสามารถมองดูภาพถ่ายสถานที่ในระดับถนนรอบๆตัวเรา แบบ 360 องศา เหมือนสถานที่จริงบนตัวคอมพิวเตอร์ แล้วบนมือถือประเทศไทยใช้ได้หรือยัง? แน่นอนเราสามารถใช้ Google Streetview บนมือถือได้ด้วย แต่ขั้นตอนดูแตกต่างจากบนบราวเซอร์ของคอมพิวเตอร์..

สำหรับผู้ใช้ iOS

1) เปิดแอพ แผนที่ (maps)  บน iPhone , iPad , iPod touch  ของคุณ
2) ซูมและนำนิ้วมาแตะจอค้างบริเวณสถานที่ที่ต้องการดู Streetview ก็จะมีหมุดสีม่วงมาปัก ซึ่งก็คือบริเวณที่คุณต้องการดูแบบ streetview แล้วให้แตะที่หมุดสีม่วง เลือกไอคอนกลมๆรูปคนสีส้มๆเพื่อเข้าชมแบบ Streetview หากดูไอคอนกลมๆรูปคนสีส้มดูจางๆก็ยังไม่สามารถดู Streetview ได้
3) คุณสามารถแพนรูปซูมรูป และแตะตามถนนเพื่อเดินไปในทิศทางต่างๆตามต้องการ

สำหรับมือถือ Android

1.) เปิด Google Maps บน Android
2.) แตะค้างเลือกสถานที่ที่ต้องการ แล้วแตะเลือกรายละเอียดที่ไอคอนกลมๆนี้
3.) ก็จะแสดงรายละเอียดที่เราเลือก ให้เลือกไปที่ streetview
มือถือจะแสดงในรูปแบบมุมมองถนนบน android ซึ่งทำงานได้ลื่นมากๆ สามารถซูม เปลี่ยนทิศทางได้ แพนรูปได้ ดูได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน แต่หากเปิดโหมดเข็มทิศ คุณสามารถเอียงมือถือ หันเพื่อดูแผนที่ streetview ตามทิศทางจริงๆได้ด้วย หากต้องการเคลื่อนที่ในแผนที่สามารถลากตุ๊กตาสีส้ม pegman นี้ ย้ายไปวางตามบริเวณที่ต้องการไปดูได้
 สำหรับมือถือรุ่นอื่นๆนั้นอย่าง java และ Blackberry  ก็สามารถใช้งานได้โดยโหลดแอพ Google Maps ลงบนมือถือคุณ แล้วทำตามขั้นตอนซึ่งไม่ต่างจาก Android โหลดได้ที่ m.google.co.th/maps บนมือถือของคุณ รองรับทั้ง java , Nokia และ BlackBerry
เพียงเท่านี้คุณก็จะสนุกกับ Google Street View เหมือนไปสถานที่จริงผ่านทางมือถือของคุณได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งเป็นตัวช่วยในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆได้เป็นอย่างดี แต่อย่าลืมว่ามือถือคุณต้องต่อเน็ตผ่าน 3G หรือ Wi-Fi ด้วยถึงสามารถใช้งาน Streetview นี้อย่างไม่มีสะดุด
ข้อมูลจาก Google support
อ้างอิงจาก   http://www.it24hrs.com/2012/how-to-used-google-maps-streetview-on-mobile-tablet/

คู่มือจัดการ 7 ปัญหายอดฮิตสำหรับAndroidสุดรักของเรา

เชื่อว่าท่านผู้อ่านที่ใช้โทรศัพท์ Android ทุกคน ย่อมต้องเคยเจอปัญหากับเจ้า Android ของตัวเองอย่างแน่นอน ซึ่งในบางปัญหาที่เราเจอนั้น บางครั้งถึงกับนิ่ง ไปไม่ถูกเหมือนกันว่าจะต้องทำยังไง วันนี้ ผมจะขอนำเสนอวิธีแก้ 7 ปัญหายอดฮิตเบื้องต้น ที่ผู้ใช้งาน Android ส่วนใหญ่ มักจะพบเจอกันบ่อยๆ ดังนี้ครับ

กรณีฮิตที่ 1 : มาไวไปไว ไม่ใช่ประกัน แต่เป็นแบต.. แบตหมดไว ทำอย่างไรดี?
คำตอบ: ต้องขอบอกก่อนเลยว่า การที่แบตเตอรี่ของเราหมดเร็วนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยครับมากครับ ทั้งการตั้งค่าของระบบปฏิบัติการที่ตั้งมาตั้งแต่โรงงาน แอพพลิเคชั่นที่เราดาวน์โหลดมา พฤติกรรมการใช้งานของเราเอง ตัว Software ที่ผู้ผลิตได้สร้างขึ้นมา ฯลฯ แต่ว่าเรานั้นก็พอที่จะมีวิธีแก้ไขในเบื้องต้นได้ครับ
เมื่อไม่นานมานี้ เว็บไซต์ของเรา ได้จัดทำ [Infographic] 10 วิธีประหยัดแบตมือถือ Smartphone ไป ซึ่งข้อมูลใน Inforgraphic ดังกล่าวนั้น ก็เป็นวิธีที่สามารถใช้งานได้จริง ถึงแม้มันอาจจะไม่เห็นผลว่าแบตเราจะอึดถึกขึ้นมาอย่างชัดเจน แต่ก็พอที่จะแก้ขัดได้ครับ
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมก็จะขอเอาภาพนั้นมาลงไว้ที่บทความนี้เลย เพื่อความสะดวกในการอ่านครับ

กรณีฮิตที่ 2 : อ๊ากกก… แอพพัง เข้าแล้วเด้งออก, Facebook/Twitter/Instagram โหลดอะไรไม่ได้เลย ทำอย่างไรดี?
คำตอบ: ขอบอกคร่าวๆ ก่อนว่า แอพพลิเคชั่นที่เราโหลดมาทุกแอพนั้น ไม่ใช่แค่ว่าโหลดมา เอาลงบนเครื่องเราปุ๊ป แล้วก็จบเลย ทุกข้อมูลใหม่ๆ อย่างเช่น Feed บน Wall ของแอพ Facebook นั้น มันก็จะถูกดึงมาจากเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการแอพ และนำมาเก็บไว้ในเครื่องเรา ซึ่งข้อมูลพวกนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ตัวอักษร ไม่ได้มีขนาดใหญ่อะไร แต่ทุกอย่าง ย่อมมีขีดจำกัดของมันครับ เมื่อมันมีเยอะจนเกินไป หรือที่เราเรียกกันว่า บวมนั่นเอง มันก็จะเริ่มมีอาการแล้วครับ
เมื่อเราใช้แอพอยู่ และเริ่มรู้สึกว่า มันเริ่มมีอาการไม่รักดีแล้ว มีวิธีแก้ ดังนี้ครับ
  1. ไปที่ส่วน Settings >> Apps >> เลือกแอพพลิเคชั่นที่มีปัญหา โดยในกรณีนี้ จะขอยกตัวอย่างแอพ Facebook ครับ
  2. อย่างแรก ให้เรากดที่ปุ่ม Clear cache ซะก่อน แล้วกลับไปใช้แอพพลิเคชั่นดังกล่าวดูใหม่ครับ ว่าใช้ได้หรือยัง (ส่วนใหญ่เมื่อกดปุ่มนี้ อาการผีเข้าผีออกของแอพ ก็จะหายครับ)
  3. แต่ถ้าหากว่า เรากดปุ่ม Clear cache แล้ว ก็ยังไม่หายอาการผีเข้าอยู่ เราก็ต้องใช้บทหนักขึ้นครับ โดยการกดที่ปุ่มClear data มันซะเลย
    *โปรดระวัง: Clear data นี่ตามตัวมันเลยครับ คือ ลบข้อมูลทั้งหมด คือ แอพของเราจะกลับไปเป็นเหมือนตอนที่พึ่งติดตั้งใหม่ๆ ฉะนั้น ข้อมูลเก่าๆ จะหายหมด กรุณาพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะกดปุ่มนี้นะครับ
  4. หากยังมีอาการผิดปกติอยู่ เป็นไปได้ว่า การติดตั้งอาจมีปัญหาครับ แนะนำให้ลองลบ และติดตั้งใหม่ดูอีกครั้ง
ส่วนกรณีที่ว่า ไม่เคยเข้าใช้แอพได้เลยนั้น เพราะ เข้าแล้วก็เด้งออกๆ ให้เราลองเข้าไปตามที่หน้าด้านบนที่กล่าวไว้ครับ และกดปุ่ม Force stop แอพเสียก่อน จากนั้นก็ลองเข้าใหม่ หากยังเข้าไม่ได้ ก็ให้ลองเปิดและปิดเครื่องใหม่ หรือ Restart เครื่องดูครับ ถ้ายังไม่ได้ เป็นไปได้สูงครับ ว่าแอพนั้นๆ ไม่รองรับเครื่องที่เราใช้อยู่
ทุกท่านอาจจะรู้สึกคุ้นๆ รูปภาพด้านบน ใช่แล้วครับ ผมนำมาจากบทความ Facebook Twitter ใช้ๆไปแล้วอืด โหลดไม่ขึ้น แก้ยังไง คลิกอ่าน วิธีแก้ ! ที่ผมเคยเขียนเอาไว้นั่นเอง

กรณีฮิตที่ 3: มือถือมีปัญหาแบบนั้น แบบนู้น แบบนี้ – เครื่องเรายังอยู่ในประกัน อาการแบบนี้ ศูนย์รับเคลมมั้ย?
คำตอบ: อันที่จริงแล้ว เงื่อนไขการรับประกันที่ศูนย์นั้น จะมีเงื่อนไขเฉพาะ และระบุไว้ชัดเจนเป็นกรณีๆ ไปครับ ซึ่งผมก็ไม่ทราบถึงรายละเอียดของมันได้ แต่มันจะมีหลักการในพิจารณาง่ายๆ อยู่ว่า มือถืออาการไหนที่ทางศูนย์จะรับเคลมครับ โดยหลักพิจารณาดังกล่าว คือ
ศูนย์จะรับเคลม – ในกรณีที่ปัญหาเกิดขึ้นจากตัวเครื่องขึ้นมาเอง อย่างเช่น แบตเตอรี่บวมเอง ชาร์จไม่เข้า เปิดไม่ติด ลำโพงแตก ฯลฯ
ศูนย์จะไม่รับเคลม – ในกรณีที่ปัญหาเกิดขึ้นจากผู้ใช้งานทำหรืออุบัติเหตุ อย่างเช่น ทำหล่นจนจอแตกยับ ทำตกน้ำทำให้เครื่องดับตลอดกาล Root, Unlock Bootloader (ภาษาชาวบ้านคือ เล่นพิเรนกับเครื่องครับ) ฯลฯ
ถึงเราไม่สามารถเคลมกับศูนย์ได้ แต่ก็ใช่ว่าเราถึงกับต้องไปหาที่ซ่อมเอง เพราะ ทางศูนย์ก็จะมีบริการซ่อมให้ แต่จะมีค่าบริการครับ
ถ้าไม่มั่นใจว่า ในกรณีที่เราพบเจอจะเคลมได้มั้ย มาคุยและมาถกกันได้ที่ เว็บบอร์ด ของ GalaxyLovers.com ได้เลยครับ ทางทีมงานทุกคนยินดีช่วยเหลือ :)

กรณีฮิตที่ 4: มีตังค์ แต่ก็ยังมึน… ซื้อแอพจาก Google Play Store อย่างไร?
คำตอบ: หลายท่านประสบปัญหาอันนี้มาก คือ อยากได้แอพอันนี้มากกกกกกกก.. แต่มันไม่ฟรีอ่ะ แล้วจะซื้ออย่างไร? มาดูวิธีกันครับ
เราสามารถซื้อแอพพลิเคชั่นบน Google Play Store ได้ โดยการเปิดใช้บริการ Google Wallet ครับ ซึ่งหมายความว่า ท่านจะต้องมีบัตรเครดิตเสียก่อน ถึงจะสามารถใช้งาน Google Wallet นี้ได้ครับ ส่วนวิธีการสมัคร ที่เว็บไซต์เราก็เคยมีบทความบอกวิธีเปิดใช้งาน Google Wallet แล้วครับ (ซึ่งตอนนั้น Play Store ยังเป็น Android Market อยู่) ดังนี้ วิธีผูกบัญชีเพื่อซื้อ App จาก Android Market
หากเรายังมีรายได้น้อย ไม่สามารถเปิดบัตรเครดิตได้ ผมขอแนะนำ K-Web Shopping Card ของธนาคารกสิกรไทยครับ ตัวนี้จะเป็นบัตรเครดิตเสมือน คือ ไม่มีบัตรเป็นแผ่นๆ ให้ มีแต่เลขบัตรเครดิตเท่านั้น โดยวิธีการเปิดใช้งานนั้น สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ธนาคารกสิกรไทยเลยครับ
แต่ผมมีวิธีง่ายๆ ครับ ในการเปิดใช้งาน Google Wallet แบบปัจจุบันทันด่วน ดังนี้
1. เข้าหน้า Google Play Store ผ่านทางคอมพิวเตอร์ (แนะนำครับ สะดวกกว่า เร็วกว่า)
2. กดซื้อแอพพลิเคชั่นที่ต้องการ
3. เมื่อกดเข้ามาแล้ว มันจะรู้ว่า เรายังไม่ได้ระบุบัตรเครดิต ดังนั้น เราจึงจะต้องระบุบัตรเสียก่อน โดยการกดที่ปุ่ม CONTINUE เพื่อดำเนินการต่อครับ

4. พอถึงขั้นนี้ ก็ให้เราระบุรายละเอียดบัตรเครดิตของเราเข้าไป เมื่อระบุเสร็จ ก็ให้ดำเนินการต่อ ถ้าทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ มันก็จะทำการซื้อแอพที่เรากดอันนี้ให้ และก็จะเริ่มทำการดาวน์โหลดและติดตั้งลงเครื่องของเราทันที

และในครั้งต่อๆ ไป เราก็สามารถกดซื้อแอพได้เลย โดยที่ไม่ต้องระบุหมายเลขบัตรเครดิตอีกครั้งครับ

กรณีฮิตที่ 5: เครื่องทำอะไรก็ช้าาา หนืดดดด อืดอาดยืดยาดน่ารำคาญ… แก้ยังไงดี?
คำตอบ: โทรศัพท์ ก็เหมือนคนเราแหละครับ คนเราเมื่อทำงานไปนานๆ เราก็จะเริ่มรู้สึกเหนื่อยอ่อนและเมื่อยล้า สมรรถภาพในการทำงานต่างๆ ก็จะลดลง โทรศัพท์ของเราก็เช่นเดียวกัน เปิดไว้นานๆ ใช้งานหนักๆ โดยที่ไม่ให้มันได้พักเลย มันก็จะเกิดอาการงอแงขึ้นมาได้
วิธีแก้ ไม่ยากเลยครับ ปิดเครื่องครับ ให้เครื่องได้พักบ้าง หรือจะปิดปุ๊ป เปิดปั๊ปเลยก็ได้ เพียงเท่านี้ โทรศัพท์ของเรา ก็จะกลับมาแรงดีไม่มีตกอีกรอบ
คำแนะนำของผมคือ ให้เราพักเครื่องหลังจากเปิดใช้งานมาแล้ว 100 ชั่วโมงครับ โดยเราสามารถดูว่าเครื่องของเราเปิดมาใช้งานมาแล้วได้กี่ชั่วโมง โดยที่ไปหน้าโทรออก แล้วกดเบอร์ *#*#4636#*#* พอเรากด * (ดอกจัน) ตัวสุดท้ายเสร็จ มันจะพาเราไปที่เมนู Testing ทันที โดยที่ไม่ต้องมีการกดโทรออกแต่อย่างใด
 
เมื่อเราเข้ามาในส่วน Testing แล้ว เราจะเห็นเมนูอยู่ 4 เมนู ให้เรากดเลือกที่ Battery information
ส่วน Battery information จะแสดงข้อมูลดังนี้
ส่วนที่จะบอกว่า โทรศัพท์ของเราเปิดมานานกี่ชั่วโมงแล้ว ให้ดูที่บรรทัดสุดท้ายที่เขียนว่า Time since boot ซึ่งจากในรูป โทรศัพท์เครื่องนี้ได้เปิดมาแล้ว 21 ชั่วโมง 57 นาที 16 วินาที
เพียงเท่านี้ เราก็สามารถดูว่ามือถือเราเปิดมาแล้วกี่ชั่วโมงแบบง่ายๆ แล้วครับ
กรณีฮิตที่ 6: ชื่อเพลงภาษาไทยบนเครื่องเราเป็นภาษาต่างดาว อ่านไม่ออก เดาไม่ถูก แก้ยังไง?
คำตอบ: อันนี้ก็เป็นอีกปัญหาโลกแตกอันนึง ที่คนไทยจะพบเจอกันเยอะมากครับ คือ ชื่อเพลงมีปัญหา ถึงแม้ว่าเพลงจะฟังได้ปกติก็จริง แต่มันก็ยังรู้สึกไม่สมบูรณ์อยู่ดี เพราะชื่อเพลงมันเป็นภาษาอะไรก็ไม่รู้ จะเลือกเพลงที่ชอบก็เลือกไม่ได้ เพราะอ่านไม่ออก
ผมเคยได้เขียนบทความไว้บทความหนึ่งที่บอกวิธีการแก้ปัญหานี้ไว้แล้ว ได้แก่ วิธีแก้ปัญหาชื่อเพลงภาษาไทยเพี้ยนๆ บน Android ซึ่งวิธีนี้ เราจะทำการแก้ปัญหาบนคอมพิวเตอร์ก่อน แล้วจึงค่อยนำไฟล์เพลงที่แก้แล้วลงเครื่องโทรศัพท์อีกที
หรือถ้ายังไม่หาย ผมก็ยังคงมี วิธีแก้ปัญหาชื่อเพลงภาษาไทยเพี้ยนๆ บน Android อีกวิธี โดยแอพพลิเคชั่น Music Tag Fixer โดยคราวนี้ จะเป็นการแก้ปัญหาบนโทรศัพท์เราโดยใช้แอพพลิเคชั่นที่มีชื่อว่า Music Tag Fixer
ท่านผู้อ่านสามารถดาวน์โหลด Music Tag Fixer ได้ ฟรี! ที่บน Google Play Store หรือจะทำการสแกน QR Code ด้านล่างนี้ เพื่อให้พาไปยังหน้าดาวน์โหลดโดยตรงก็ได้เช่นเดียวกัน

กรณีฮิตที่ 7: เง้ออออ ตั้งภาพ Wallpaper ของเราเองในหน้า Home Screen แต่ภาพแสดงไม่เต็มจอ ถูกตัดบ้าง ภาพแตกบ้าง ทำยังไงดี?
คำตอบ: คำถามนี้ เป็นอีกคำถามที่พบเจอบ่อยใน Galaxy Lovers Webboard ของเว็บเราเองครับ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ภาพแสดงไม่เต็มจอ Home Screen ก็เพราะว่า ภาพที่เราใช้มีขนาดไม่พอดีกับความละเอียดหน้าจอของมือถือเราครับ
อย่างเช่น Samsung Galaxy S3 จะมีขนาดความละเอียดของหน้าจออยู่ที่  1280 x 1440 พิกเซล (ภาพในแนวตั้ง) และถ้าหากเราใช้ภาพที่มีขนาดใหญ่ไปหรือเล็กไปจากความละเอียดดังกล่าว ภาพที่จะถูกนำมาตั้งเป็น Wallpaper ก็จะถูกตัดออก หรือจะถูกขยายขึ้น ไปให้เข้ารูปพอดีกับหน้าจอของ Home Screen ครับ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ภาพถูกตัดออกไปบ้าง หรือภาพแตกนั่นเองครับ
วิธีแก้ไขก็คือ ก่อนที่จะนำภาพอะไรก็ตามไปตั้งเป็น Wallpaper เราจะต้องดูก่อน ว่าภาพนั้น มีขนาดเท่าไหร่(กี่พิกเซล) และถ้าดูแล้วไม่ตรง ก็ให้เราทำการแก้ไขครับ โดยการใช้โปรแกรมแต่งภาพทั้งหลายแหล่ อาทิเช่น Photoshop ฯลฯ แต่ภาพของเรานั้น ควรที่จะมีขนาดใหญ่เกินขนาดความละเอียดของหน้าจอมือถือเราไป เพราะถ้าเล็กกว่า เวลาเราขยายให้มาเท่ากัน ภาพที่ได้จะแตกครับ
ส่วนคำถามที่ว่า มือถือของเรามีความละเอียดของหน้าจอเท่าไหร่ อันนี้เราคงต้องไปหาข้อมูลของแต่ละรุ่นครับ แต่ ณ ที่นี้ ผมได้จัดเอาไว้ให้สำหรับมือถือตระกูล Galaxy บางส่วนไว้ให้แล้ว โดยขนาดทั้งหมดจะเป็นขนาดของภาพใน แนวตั้ง ในหน่วย พิกเซล ตามนี้ครับ
  • Galaxy S3 – 1280 x 1440
  • Galaxy Note – 800 x 1280
  • Galaxy Nexus – 720 x 1280
  • Galaxy S2 - 480 x 800
  • Galaxy Beam (GT-i8530) – 480 x 800
  • Galaxy S Advance – 480 x 800
  • Galaxy Ace 2 – 480 x 800
  • Galaxy Ace Duos – 320 x 480
  • Galaxy Cooper – 320 x 480
  • Galaxy Mini 2 – 320 x 480
  • Galaxy Pocket – 240 x 320
  • Galaxy Mini – 240 x 320
  • Galaxy Y – 240 x 320
หากใครมีข้อสงสัยเพิ่มเติม กับวิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นทั้ง 7 ข้อที่ได้กล่าวไปแล้ว สามารถตั้งกระทู้ถามได้ที่ Galaxy Lovers Webboard ได้เลยครับ
อ้างอิงจาก   http://www.galaxylovers.com/6-ways-to-handle-top-hits-android-problems/

มีกี่เครื่อง-เปลี่ยนกี่ครั้งก็ไม่หวั่น…วิธีทำให้ contact เหมือนกันทุกเครื่องทั้งบน iOS และ Android


ในอดีตเรามักจะบันทึกรายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ลงในตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือ และบันทึกลงในซิม หากเครื่องหายหรือโดนขโมยไป เบอร์นั้นก็ติดไปกับเครื่องนั้นด้วย ทำให้เราต้องเริ่มตามบันทึกเบอร์เพื่อนๆนั้นใหม่หมด แต่ปัจจุบันนี้สามารถบันทึกเบอร์โทรต่างๆ  โดยทันทีที่บันทึกเบอร์โทรแล้ว จะส่งไปยัง icloud หรือ google sync บนอินเตอร์เน็ตได้ หากเครื่องหายก็สามารถดาวน์โหลดรายชื่อเบอร์โทรเหล่านั้นลงโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ได้ทันที ผ่านทางอินเตอร์เน็ต วันนี้เราจะมาลองตั้งค่าให้โทรศัพท์มือถือของคุณ สามารถซิงค์รายชื่อเบอร์โทร ระหว่างบน iOS และ Android ให้ตรงกัน
โดยทั่วไป Android จะทำการ Sync รายชื่อบน contact ของ  google อยู่แล้ว คราวนี้ลองเซ็ตค่าบนมือถือ iPhoneให้รายชื่อตรงกับรายชื่อบนเครื่อง Android บ้าง
ก่อนอื่นให้ iPhone เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตก่อน ผ่านทาง 3G หรือ Wifi     จากนั้นเปิดแอพ Settings บน iPhone หรืออุปกรณ์ iOS ของคุณ (ในตัวอย่างนี้ใช้บน iPad2 )
เลือก Mail , Contacts , Calendars จากนั้นเลือก Add Account…
ต่อมาเลือก Other ดังรูปบน
เลือก Add CardDAV Account ในส่วนโซนของ Contact ดังรูป

แล้วกรอกข้อมูล ในช่องต่างๆเพื่อทำการ sync กับรายชื่อเบอร์โทรที่บันทึกบน Gmail ดังรูปบนดังนี้
  • Server: ป้อน “google.com”
  • User Name: ป้อนบัญชี Google  ลงท้ายด้วย @gmail.com ดังรูป
  • Password: กรอกรหัสผ่านของ Gmail
  • Description : ป้อนคำอธิบายของบัญชี (เช่น My Phone2 For Gmail)
เมื่อกรอกครบตามกำหนดแล้ว แตะ Next จะทำการตรวจสอบ  เสร็จแล้วลองเช็คโดยแตะที่ My Phone2 For Gmailแล้วดูว่าตรงช่อง account ได้เปิด ON ไว้หรือไม่ ถ้าเปิด ON แสดงว่าเริ่มทำการ Sync รายชื่อให้ตรงกันระหว่าง iPhone กับ Android แล้ว

วิธีตั้งค่า รายชื่อบน Google (Android)  เป็นบัญชีเริ่มต้นบน iPhone (iOS) ของคุณ

สมมุติเมื่อคุณได้เบอร์โทรเพื่อนใหม่ โดยเพิ่มรายชื่อบน iPhone ของคุณแล้ว และอยากให้รายชื่อใหม่นั้นเพิ่มบน Android ไปโดยอัตโนมัติด้วย คุณจะต้องตั้งให้ My Phone2 For Gmail ที่สร้างขึ้นไว้นี้เป็นบัญชีเริ่มต้นของคุณก่อน โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
เปิดแอปพลิเคชัน Settings บนอุปกรณ์ iOS ของคุณ
เลือก Mail , Contacts , Calendars  และเลื่อนลงมายังส่วน Contact  คุณจะเห็น Default Account ว่ามันชี้ไปที่ iCloud อยู่ ให้เลือก Default Account ดังหมายเลข 2 นี้   เพื่อเปลี่ยนบัญชีเริ่มต้น ให้ไปทาง Gmail ที่เราเซตอัพเมื่อสักครู่
เลือกบัญชีไปที่ My Phone2 For Gmail ที่เราตั้งไว้ดังรูป
แค่นี้เวลาเพิ่มรายชื่อใหม่ใน contact ก็จะถูกบันทึกลงใน Gmail ผ่านทางอุปกรณ์ iOS อย่าง iPhone เรียบร้อย และทำให้ทั้งมือถือ iPhone และ Android มีรายชื่อที่ตรงกันด้วย
ข้อมูลจาก Google Support
อ้างอิงจาก  http://www.it24hrs.com/2012/sync-contact-from-android-to-iphone-with-google-sync/